Red Moon #เช็งเม้งป๋อจ้าน | OS - Bozhan ป๋อจ้าน








Red Moon.
清明节
#เช็งเม้งป๋อจ้าน



           
            เสียงฝีเท้าที่ดังสลับกับเสียงหายใจหอบท่ามกลางความมืดที่ปกคลุมไปทั่วไร่ข้าวโพดที่สูงเหนือหัว ร่างบอบบางของ เซียวจ้าน วิ่งแหวกต้นข้าวโพดที่สูงจนบดบังทัศนวิสัยในการมองเห็น เขาทำได้เพียงวิ่ง วิ่ง และวิ่งต่อไปข้างหน้าอย่างไม่มีทางเลือก สายตาก็คอยมองรอบๆตัวด้วยท่าทีหวาดระแวง เขาต้องวิ่ง เพราะถ้าเขาหยุดโอกาสรอดที่น้อยริบหลี่จะยิ่งมอดดับไป

            แซ่ก..
            เสียงสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่วิ่งแหวกต้นข้าวโพดจากด้านหลังเขาทำให้เขาพยายามรวบรวมแรงที่มีอยู่วิ่งต่อไป เสียงที่เคยตะโกนเรียกให้คนช่วยเหลือก็แหบแห้งจนไม่มีแรงจะเปล่งเสียง  เงามืดที่ตามหลังมาทำให้หัวใจดวงน้อยบีบเต้นแรงก่อนจะสะดุดล้มลงหน้าคว่ำไปกับพื้น ครั้งนี้เขาไม่มีแม้แรงที่จะหยัดยืนขึ้นมาด้วยซ้ำ

            แซ่ก..
            ดวงตาสดใสของลูกกระต่ายน้อยหันไปมองยังเงาดำที่แหวกความมือออกมา ร่างบางเงยหน้ามองพระจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าก่อนจะนึกด่าตัวเองอยู่ในใจ คืนนี้คือคืนที่ห้ามออกนอกบ้านหลังจากพระอาทิตย์ตกดิน เพราะความไม่ใส่ใจของเขาทำให้เขาลืมนึกเรื่องนี้ไปสนิท เขาก็แปลกใจอยู่ว่าทำไมเพื่อนๆที่บอกให้เขานอนค้างที่ทำงานทั้งๆที่วันพรุ่งนี้เป็นวันหยุดยาวของเทศกาลเช็งเม้งแท้ๆใครต่อใครต่างก็พอกันรีบกลับบ้าน เซียวจ้านก็เป็นอีกคนเช่นกันที่จองเที่ยวรถรอบดึกเอาไว้ หลังเลิกงงานเขาก็รีบตรงไปขึ้นรถเพื่อกลับมายังบ้านเกิดทันที คนบนรถที่บางตาทำให้เขาไม่นึกสงสัยอะไรเลย จนตอนนี้ที่เขาเงยหน้าขึ้นไปเห็นพระจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่เหนือหัวก็ทำให้เขาเข้าใจในทันที พระจันทร์เป็นสีแดงฉาน คือที่วิญญาณที่ถูกกักขังจะได้รับอิสระและกลับมาใช้ชีวิตราวกับมนุษย์ได้อีกครั้ง

            และแน่นอนว่าสิ่งที่วิ่งตามเขามา...ไม่ใช่มนุษย์แบบเขาอย่างแน่นอน..

            “ยะ..อย่าเข้ามานะ” เสียงอันแผ่วเบาของร่างบอบบางถูกเอ่ยขึ้นจากก้นบึ้งของความกลัว ก่อนร่างอันขาวซีดสูงโปร่งจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา สวมเสื้อผ้าสีแดงฉานเหมือนพระจันทร์ที่กำลังสาดส่องแสงที่แดงฉานปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ใบหน้าของชายหนุ่มอายุราวๆยี่สิบต้นๆที่ไร้อารมณ์ความรู้สึกจับจ้องมาที่เขาก่อนริมฝีปากจะเริ่มแสยะยิ้ม ซึ่งรอยยิ้มนั้นเป็นรอยยิ้มที่ชวนให้ขนลุกจนเซียวจ้านสั่นสะท้านไปทั้งตัว

            เสียงหัวเราะที่น่าขนลุกทำให้เซียวจ้านพยายามใช้มือตะเกียดตะกายถอยหลังเพื่อจะหนี ถึงแม้ว่าจะหนีไม่พ้นแล้วก็ตามแต่มันคงดีกว่าเขานั่งอยู่เฉยๆแบบนี้ เสียงหัวเราะดังออกมาจากปากของชายคนนั้นทั้งๆที่ไม่ได้อ้าปากแต่เสียงมันดังกึกก้องอยู่ในหูจนเซียวจ้านต้องยกมือเรียวขึ้นมาปิดหูเอาไว้แน่นก่อนร่างบางจะลอยละลิ่วเพราะถูกร่างอันเย็นเฉียบโอบอุ้มขึ้นจนตัวลอย เซียวจ้านสะดุ้งจนตัวโยนมองใบหน้าที่ตอนนี้อยู่ห่างไม่ถึงคืบของคนที่เขาให้คำตอบไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นผีหรือคนกันแน่ แต่รอยยิ้มอันน่าสยดสยองนั้นก็ทำให้เขามั่นใจว่ายังไงผู้ชายคนนี้ก็ไม่มีทางเป็นคนแน่ๆ

            “ปะ..ปล่อยผมไปเถอะ ดะ..เดี๋ยวผมจะเผากระดาษไปให้ จะเอาของอร่อยๆมาไหว้ ปล่อยผมไปนะ” สายตาอันเรียบเฉยมองไปยังใบหน้าหวานพร้อมยกยิ้มอีกครั้งราวกับคนที่เจอของถูกใจ เพียงชั่ววินาทีจู่ๆจากไร่ข้าวโพดก็กลายเป็นในบ้านหลังหนึ่งที่หรูหรา ดูสว่างไสวจนเซียวจ้านตกตะลึง และที่น่าตกใจไปมากกว่านั้นก็คือแผ่นหลังบางที่สัมผัสลงบนเตียงนุ่ม มือเรียวรีบยันตัวขึ้นพร้อมกับถอยหลังกรูไปจนติดหัวเตียง

            “กลัว ?” คำพูดแรกของชายตรงหน้าที่เอ่ยถามทำให้ร่างบางได้แต่ขมวดคิ้วมองไปตรงหน้า

            ใครไม่กลัวบ้าง...

            “กะ..กลัวสิ ผมอยู่ที่ไหน”

            “บ้าน” ชายคนนั้นยังคงเอ่ยตอบออกมาสั้นๆห้วนๆ

            “บะ...บ้านคุณเหรอ”

            “บ้าน..เรา” คำว่าบ้านเราทำให้เซียวจ้านได้แต่ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมเมื่อได้ยินคำว่าเราจากปากชายตรงหน้า

            “หมายความว่ายังไง...” สิ้นเสียงที่เซียวจ้านถาม ชายคนนั้นก็ขยับขึ้นมาบนเตียงก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างปลดกระดุมเสื้อที่สวมใส่ออกเผยให้เห็นแผ่นอกแกร่งที่ซีดเซียวราวกับร่างของคนตาย เสื้อสีแดงถูกโยนลงไปปลายเตียงก่อนที่มือของชายคนนั้นจะออกแรงกระชากข้อเท้าของร่างบางทำให้เขากระแทกลงไปกับเตียงพร้อมกับร่างอันเย็นเฉียบคนนั้น ที่ตามมาคร่อมร่างบางเอาไว้จนขยับตัวหนีไปไหนไม่ได้ สายตาของชายใบหน้าซีดเซียวไล่มองใบหน้าหวานอย่างพินิจพิจารณา

            “หมายความว่า..เรา ก็เท่ากับอยู่ด้วยกันสองคน” นี่คงเป็นประโยคที่ยาวที่สุดที่เขาได้ยินจากชายคนนี้และมันก็เป็นประโยคที่ทำให้เขาพยายามดิ้นรนที่จะหนีอีกครั้ง แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว

            สถานที่เขาเข้ามาอยู่ในตอนนี้คือคฤหาสน์ของผี.. สถานที่ของผีที่อนุญาตให้เพียงผู้ที่ถูกเลือกในคืนวันที่มีพระจันทร์สีแดงเท่านั้นที่จะก้าวเข้ามาได้

            และเมื่อเข้ามาแล้ว...ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้ออกไป เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่อยู่ของร่างบางถูกปลดเปลื้องกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น ร่างบอบบางถูกกอดรัดแน่นจากร่างเย็นเฉียบของผู้ที่ถือตนเป็นเจ้าของของเขาเพียงชั่วข้ามคืน ร่างบางสั่นคลอนไปพร้อมกับแรงที่อีกคนส่งมาให้ จนความเจ็บปวดแปรเปลี่ยนเป็นความสุขสม และมันก็ดำเนินต่อไปอย่างไม่มีวันหยุด ร่างบางที่ยังคงสั่นคลอนไปตามแรงที่อีกคนส่งมาให้เชิดหน้าขึ้นก่อนจะเหลือบไปเห็นภาพชายคนหนึ่งที่อยู่ในกรอบซึ่งเป็นภาพของชายคนที่กำลังตักตวงความสุขจากเรือนร่างของเขา ใต้ภาพนั้นมีตัวหนังสือที่น่าจะเป็นชื่อของชายคนนั้นปรากฏขึ้นอย่างเลือนลางเพราะภาพนั้นดูเก่ามาก แต่ก็ยังพอที่จะมองเห็นได้อยู่... ซึ่งเมื่อเขาจับใจความก็อ่านเป็นชื่อได้ว่า


            หวัง อี้ ป๋อ..

            ซึ่งนั่นก็ทำให้เขารู้ว่าคนที่กำลังช่วงชิงชีวิตของเขาไปและดึงเขาสู่ปรโลกมีชื่อว่าอะไร...

          


สั้นๆแต่หวังว่าจะชอบกันนะคะ  

ความคิดเห็น